วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

โยคะคืออารายยย....



โยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และ การผ่อนคลาย (อาสนะ และ ปรารณายาม) โดยเว้นหรือข้ามส่วนที่เป็นการฝึกจิตโดยตรง ขณะเดียวกันยังคงแฝงนัยแห่ง การฝึกจิดโดยอ้อมอยู่อย่างครบถ้วน
คำว่า อาสนะ มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า อาส ซึ่งหมายถึง มีอยู่ อาศัยอยู่ใน นั่ง เงียบ ๆ อยู่อาศัย พำนัก ตามศัพท์ อาสนะ หมายถึง การนั่งหรือนั่งในท่าใดท่า หนึ่ง ในเรื่องโยคะอาสนะ หมายถึง ท่าและตำแหน่งตางๆ ในการฝึกโยคะ เช่น การยืนด้วยศีรษะ (ศีรษะอาสนะ) ท่าดอกบัว (ปัทมอาสนะ) ฯลฯ
อาสนะนับเป็นหนึ่งในแปดแขนงของโยคะแบบดั้งเดิม ในตำราโยคะสูตร มีส่วนที่ ว่าด้วยปรัชญาของโยคะ คือ "ปธังชลี" ซึ่งให้คำจำกัดความอาสนะด้วยคำ 2 คำ คือ เสถียร และสุขุม เสถียรหมายถึง ความมั่นคง ความคงที่ ความแน่วแน่ โดยมากจากราศัพท์ว่า สถ ซึ่งหมายถึงการยืน สุขุมหมายถึงการผ่อนคลาย สบาย ความสุขเมื่อจิตของกายอยู่ในสภาวะที่ตรงข้ามกับเสถียรและสุขุม กล่าวคือ อยู่ในสภาวะไม่คงที่จำกัด ร้อนรนและไม่มีสมาธิจะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตอย่างยาก ลำบาก ขัดแย้ง เครียด และขาดความสุข การฝึกโยคะช่วยสร้างความคงที่และผ่อนคลายที่สัมผัสได้ ผ่านจิตของกาย อันจะก่อประโยชน์ทั้งด้านสมาธิและชีวิตประจำวันโดยทั่วไป
การฝึกโยคะนั้นต่างจากการออกกำลังกายแบบอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมกัน เช่น แอโรบิค ยกน้ำหนัก หรือวิ่งอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์ของการฝึกอาสนะไม่ใช่การพัฒนาความแข็งแรงของกล้าม เนื้อ หรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ (แม้โยคะจะมีประโยชน์เช่นนั้นด้วยก็ตาม) แต่โยคะมีจุด ประสงค์เพื่อฟื้นฟูจิตของกายให้กลับมาสู่สภาวะความเป็นอยู่ที่ดี ผ่อนคลาย และตื่นตัวอยู่เสมอ
การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกายโดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอา หาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก "ภายใน"

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ผีออกลูกตายกับถูกยิงตายมาขอส่วนบุญ

มีผีผู้หญิงออกลูกตายกับผีผู้ชายถูกยิงตายมาขอบุญหลวงพ่อ โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดา“..ผีที่จับได้เขารับสารภาพ ถามว่า “มาจากไหน เขาให้ทำอะไร” ผีตอบว่า “ไม่อยากทำ แต่เขาใช้ทั้งคาถา ใช้ทั้งมัด ใช้ทั้งเฆี่ยน” พอเล่าเสร็จก็ถามว่า “แล้วอยากไปไหม” ผีบอกว่า “ผมอยากพ้นไปครับ” จึงบอกให้โมทนา พอโมทนาผลบุญเท่านั้นแหละเป็นเทวดาทันที เป็นผู้หญิงออกลูกตายคนหนึ่งกับผู้ชายถูกยิงตาย พอเป็นเทวดาแล้วก็บอกว่า “เพื่อนผมถูกจับอีก ๑๐ คน พรุ่งนี้ผมจะเอามา” ถามว่า “แกจะเอามาได้หรือ” ตอบว่า “ได้ครับ ผมเป็นเทวดาแล้วผมแก้ได้”พอวันรุ่งขึ้นแก เอามา ๑๕ คนมาเป็นตับเลย ถามลูกศิษย์ท้าวมหาราชว่า “ทำไมไม่กัน” ท่านบอก “อ้าว ก็ท่านบอกให้เอามา” ถามว่า “ใคร” ท่านบอก “ก็ไอ้พวกเมื่อคืนนี้” ทั้งหมดที่มาก็ขอโมทนา มันก็สบายไปหมด ประเดี๋ยวลูกศิษย์ท้าวมหาราชไปแบกมาอีก ๗ คน ไปขโมยเขามา ต้องแบกเข้ามา เขามัด ๓ เปลาะเห็นชัดเลย เชือกมัด ๓ เปลาะกระดิกไม่ได้เลย แล้วก็เฆี่ยนถ้าไม่ทำตาม ใช้ไปแล้วยังใช้คาถาเฆี่ยนตีตามอีก พอลูกศิษย์ท้าวมหาราชเอาพวกอีก ๗ คนมาก็ถามว่า “จะแก้อย่างไรล่ะ” ท่านก็บอกคาถาอภิญญาที่พระพุทธเจ้าให้ “สัมปจิตฉามิ” พอว่าคาถานี้ปั๊บเชือกขาดทันที คนนั้นลุกได้ คล้ายๆ ท่านจะสอนเรา วิธีแก้อย่างนี้ได้ก็เลยแบกมา..”

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551

ความแตกต่างระหว่างคนสองคน

อ่านดูแล้วก้อรู้เอง
เธอชอบสีขาว --- เขาชอบสีดำ
เธอชอบตุ๊กตาหมี --- เขาชอบรถถัง
เธอชอบนั่งดูตะวันขึ้นที่ชายทะเลในตอนเช้า
เขาชอบบรรยากาศของแสงไฟในเมืองตอนกลางคืน
เธอชอบจักรยาน >> >>เพราะความช้าของมันทำให้เธอมีเวลาดูอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านไป
เขาชอบความเร็วของมอเตอร์ไซค์ >> >>เพราะมันทำให้เขาไปถึงที่หมายทันเวลา
เธอนอนสี่ทุ่ม ตื่นตีสี่เพื่อใส่บาตร --- เขานอนตีสี่ ตื่นสี่โมงเย็น เพราะกลับดึก
เธอได้ท๊อบ เกือบทุกวิชา --- เขาได้0 เกือบทุกวิชา
เธอถูกชมและรับรางวัลเด็กนักเรียนดีเด่น เป็นประจำ --- เขาถูกด่าและมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของโรงเรียน
เธอยิ้มง่าย รักเด็กๆ และกล้าแสดงออก --- >> >>เขาหงุดหงิด เกลียดเด็กๆ และขี้อาย
เธอไม่ชอบกีฬากลางแจ้ง --- เขาชอบเล่นบาส กับ ฟุตบอล
เธอขี้แย --- เขาเข้มแข็ง
เธอกลัวฟ้าร้อง --- เขาชอบฝนตก
เธอเกลียดความเหงา และไม่ชอบอยู่คนเดียว
เขาเบื่อสังคม และชอบเก็บตัวในห้อง
เธอร้องไห้ในเรื่องที่เราไม่คิดว่ามันน่าเศร้า >> >>เขากลั้นน้ำตาในเรื่องที่อยากฆ่าตัวตาย
เธอมองหน้าเขาแล้วเห็นผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง --- >> >>เขามองหน้าเธอแล้วเห็นนางฟ้าที่ดีที่สุดในชีวิตเขา
เธอจับมือเขาไว้ในวันที่เขาท้อแท้ >> >>เขานั่งลงข้างๆเธอในวันที่เธอว้าเหว่
เธอเบื่อคำชื่นชมจอมปลอม และต้องการได้ยินเสียงเขา >>แม้จะเป็นการด่าก็ตาม ---
เขาอยากได้ยินคำชื่นชมจอมปลอม ขอแค่มันมาจากปากเธอ
เธอจมปลักอยู่ในความทุกข์ในวันที่เขาหายไป >> >>เขาจมดิ่งลงในความสุข ในวันที่เธออยู่ข้างๆ
วันใดก็ตามที่เขาท้อแท้ หรือ ยอมแพ้ เธอจะโทรไปหาเขา พูดแต่คำว่า >>รักเธอนะ ---
วันใดก็ตามที่เธอผิดหวัง หรือ เหงา เขาจะโทรไปหาเธอ และจะเงียบ >>อยู่อย่างนั้น จนกว่าเธอจะหยุดร้องไห้
วันใดก็ตามที่เขาได้รับชัยชนะ เธอจะตรงเข้าไปหา แล้วกอดเขา
วันใดก็ตามที่เธอได้รางวัล เขาจะตรงเข้าไปหา ยิ้มให้ ชูนิ้วโป้ง >>แล้วพูดคำว่า ยินดีด้วย
วันเกิดเขา เธอหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง แล้วพูดคำว่า ฉันรักเธอ
วันเกิดเธอ เขาโทรมาตอนเที่ยงคืน >> >>แล้วพูดคำว่า ฉันก็รักเธอ
เธอจับมือเขา เพื่อจะเตือนให้เขารู้ว่าเขาสำคัญสำหรับเธอมากแค่ไหน
เขานั่งข้างๆเธอ >> >>เพื่อให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
เธอจะร้องไห้ และขอร้องให้คนที่ทำร้ายเขาหยุดการกระทำ
เขาจะต่อยหน้า ใครก็ตามที่ทำร้ายเธอ
เมื่อเขาโกรธ เธอจะรอให้เขาหายโกรธ แล้วโทรไปบอกว่า ขอโทษนะ
เมื่อเธอโกรธ เขาจะดึงมือเธอไว้ แล้วพูดคำว่า ฉันขอโทษ
เธอโทรไปหาเขาทุกวันเพื่อพูดคำว่า ฉันรักเธอ ---
เขารอคอยโทรศัพท์เธอทั้งวัน >> >>เพื่อรอฟังคำว่า ฉันรักเธอ....

แล้วความเหงาก็เข้ามาเยือน

หลายคนคงเคยมีความรักใช่มั้ย...
ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไร คือสิ่งที่เรียกว่ารัก จนกระทั่งได้มาสัมผัสด้วยตนเอง ถึงได้เข้าใจ แต่มาถึงตอนนี้ทุกสิ่งที่คิดไว้มันแหลกสลายไปหมดแล้ว ด้วยน้ำมือของฉันเอง
เด็กคนหนึ่งนั่งอมลูกอมยี่ห้อใหม่ ทั้งหวานและอร่อยมากๆ แต่แล้วก็มีคนบอกให้เด็กคนนั้นคายลูกอมออกมา แน่ล่ะ ใครจะไปยอมทำแบบนั้น เมื่อเด็กคนนั้นไม่ทำตาม เค้ายังอมลูกอมนั้นต่อไป ใครจะรู้ล่ะ ว่าในอนาคตเด็กคนนั้นยังชอบลูกอมยี่ห้อเดิมอยู่รึเปล่า มันยังจะหวานและอร่อยเหมือนเดิมอีกมั้ย ถ้ามีคนทำลูกอมยี่ห้อใหม่ขึ้นมา เด็กคนนั้นจะสนใจรึเปล่า ไม่มีใครตอบได้
มันก็เหมือนกับความรักนั่นแหละค่ะ ที่วันนี้ถึงแม้มันจะแสนหวานชื่น รักกันมากแค่ไหนก็ตาม มีคนบอกให้เลิกรักกัน ก็ไม่ยอมเลิก ยังคงวนเวียนอยู่กับความรักนี้ ยึดติดไม่ไปไหน แม้จะรู้ว่าคนที่เราคบอยู่นั้นไม่ดี เราก็ยังคิดว่าดี ความรักมันบังตาค่ะ เหมือนที่เค้าพูดกันอยู่เสมอว่าความรักทำให้คนตาบอด มันใช่เลยจริงๆ ใครจะรู้ล่ะคะในเมื่อวันนี้เค้าเป็นคนที่แสนดีที่สุดของเรา เป็นคนที่เราคิดว่าเรารักมาก วันหนึ่งเค้าอาจจะจากเราไป แบบไม่เหลือเยื่อใยอีกแล้ว เราก็เปรียบเหมือนลูกอมยี่ห้อหนึ่ง ที่ต่อไปมันจะกลายเป็นแค่ลูกอมยี่ห้อเก่า ที่อาจจะไม่มีใครสนใจเลยก็ได้
แล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันเองที่เป็นคนผิด ผิดตั้งแต่ต้นที่คิดชอบเค้า จึงได้รู้ว่าการที่ฉันรักเค้ามากมายนั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย ฉันยอมเค้าทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่ฉันบรรจงเก็บไว้อย่างดี ให้เค้าไปหมดแล้วค่ะ ไม่เหลืออะไรเลย สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้เป็นเพียงความเหงาที่ไม่มีใครเข้าใจ ฉันจึงได้คิดว่า ฉันนั้นก็เหมือนลูกอมยี่ห้อเก่าที่ในวันนี้มันไม่อร่อยอีกแล้ว เค้าไม่ต้องการอีกแล้ว
ในวันนี้ฉันแค่อยากขอภาวนา สิ่งเลวร้ายอย่าได้บังเกิดกับฉันเลย ฉันไม่มีแรงจะต่อสู้ปัญหาใหญ่ๆได้ เมื่อไม่มีใครที่ฉันจะสามารถปรึกษาได้เลย สวรรค์ได้โปรด ฉันขออยู่คนเดียวสักพัก เพื่อปรับตัวเอง เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนี้มันจะดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆต่อไปด้วยเถิด สาธุ...

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

Sanzo*'s Profile

ชื่อ : Genjo Sanzo
หนัก : 64 Kg. สูง : 177 Cm.สีตา : ม่วง สีผม : ทอง
กรุ๊ปเลือด : A
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
อายุ : 23 ปี วันเกิด : 29 พฤษจิกายน
ของชอบ : บุหรี่ เบียร์ ไพ่นกกระจอกอาวุธ : Shourejyo หรือ ปืนที่ซันโซใช้นั่นเองเป็นปืนที่ยิงโดยพลังจิต และ คัมภีร์มารฟ้า ( 1 ใน 5 ของคัมภีร์เบิกฟ้าดิน)
คำพูดติดปาก : Omae wo korosu แปลว่า ฉันจะฆ่าแก (อารมณ์ประมาณน่าจะพูดว่า ไปตายซะ หรือ อยากตายหรือไงประมาณเนี้ยเป็นพระนักข่มขู่) และ Baka แปลว่า ไอ้บ้า (อารมณ์เดียวกับเวลาเราพูดว่า "ไอ้เวรนี่") และ Uruse หริอ Urusai แปลว่า หุบปากน่า

จากประวัติดูแล้วเป็นพระที่นอกรีตพอสมควรเลย แต่ก็ยังดีกว่าไอ้พวกนุ่งผ้าเหลืองหากินทุกวันนี้ เดิมเป็นเด็กกำพร้าถูกใส่ตระกร้าลอยน้ำมาแล้วพระอาจารย์ซันโซคนก่อน โคเมียวซันโซก็เก็บมาเลี้ยงไว้ แล้วตั้งชื่อว่าโคริว (แปลว่าแม่น้ำเหลือง(ฮวงโหในภาษาจีน)) เมื่อยังเด็กก็เป็นคนที่มีพลังวิชาแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์วัด และเป็นคนสนิทของพระอาจารย์โคเมียวซันโซ แล้ววันนึงพระอาจารย์โคเมียวซันโซก็มอบตำแหน่งซันโซให้กับโคริวและตั้งชื่อให้ว่า เก็นโจ ซันโซ และในตืนเดียวกันนั้นปิศาจก็บุกมาชิงคัมภีร์เบิกฟ้าดิน และได้ไป 1 ม้วนจาก 2 ม้วนที่มีอยู่ที่พระอาจารย์โคเมียวซันโซ นั่นคือ คัมภีร์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกม้วนนึงก็อยู่ที่เก็นโจซันโซ นั่นคือ คัมภีร์มารฟ้า(จริงๆแล้วคำว่า"ซันโซ"เป็นตำแหน่งของผู้ที่ถูกเลือกให้ดูแลม้วนคัมภีร์เบิกฟ้าดิน ซึ่งมีอยู่ 5 ม้วน เป็นตำแหน่งสูงสุดในเหล่าพระ ) เป็นพระที่ประวัติค่อนข้างสมบุกสมบัน ดูรูปดีก่าขีเกียจพิมพ์แล้ว

ย้อนรอยพระพี่นาง

"แสงหนึ่ง" เปรียบดุจแสงที่ส่องสว่าง
และฉายแสงอาบให้เราได้เห็นสิ่งที่สวยงาม ในโลกนี้
แต่ผู้คน มักไม่ได้มองเห็นแสงนั้น
ย้อนรอยอดีตต้นตระกูล ของ พระสุพรรณกัลยา ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้บันทึกเอาไว้ เมื่อค่อนคืนของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2491 ซึ่งเป็นวันเพ็ญ เดือนยี่ ในขณะที่นั่งฝันถึงเรื่องเก่าๆ ของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวที่ท่านทำ และท่านได้บันทึก (ลิขิตเอาไว้) เพื่อให้คนรุ่นหลัง ได้ทราบถึงความเป็นมาของท่าน และต้นตระกูลของท่าน ที่พระราชบิดา คือ พระมหาธรรมราชา ตลอดทั้งพระประยูรญาติ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่า เชื้อสายต้นตระกูลของพระนาง ท่านนั้นมีกำเนิด มาจากบรรพบุรุษผู้สูงศักดิ์ ถึงสองตระกูล สายพระราชบิดา มาจากวงศ์พระร่วง (วงศ์สุโขทัยสายเหนือ) ส่วนสาย พระราชมารดานั้น มาจากสายวงศ์สุพรรณภูมิ สายภาคกลาง เท่าที่จำได้ และได้บันทึกไว้มีดังนี้ เริ่มต้นก็มีสมเด็จพระนครอินทราธิราช เจ้าต้นตระกูลองค์นี้ ครองราชเมื่อ พ.ศ.1952 ถึง พ.ศ.1967 สมเด็จพระนครอินทราธิราช หรือเจ้านครอินทร์ เป็นโอรสของเจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นอนุชา ซึ่งเป็นน้องชาย ของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ได้รับคำทูลเชิญ (เชื้อเชิญ) ให้เข้ามาครองราชสมบัติ โดยการยินยอมจาก พระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระราเมศวร แต่โดยดี เมื่อปี พ.ศ. 1952 เจ้านครอินทร์ มีพระราชโอรสสามพระองค์คือ 1 เจ้าอ้าย ได้ครองเมืองสุพรรณบุรี องค์ที่ 2 พระเจ้ายี่ ได้ครองเมืองสวรรค์ (หรืออาจจะเป็นเมืองสรรคบุรี) หรือเมืองแพรก (บ้านแพรกในปัจจุบัน) พระราชโอรสองค์ที่สามชื่อ เจ้าสามพระยา ได้ครองเมืองชัยนาท ซึ่งต่อมา ได้สืบราชสมบัติจาก พระราชชนก อันพระอินทราธิราช ผู้เป็นพระบิดานั้น ได้ครองราช เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษาแล้ว ครองราชอยู่ได้ 16 ปี อายุก็ 66 ปี ก็สวรรคต เมื่อปี 1967 และเรื่องเจ้าอ้ายผู้พี่ชาย กับเจ้ายี่ผู้น้องชายคนที่สอง ต่างก็ปองรัก ราชสมบัติของพ่อ ต่างก็ยกกองทัพเข้ามา จะตีกรุงศรีอยุธยา โดยจุดมุ่งหมายในราชสมบัติ และอำนาจวาสนาอย่างเดียว กัน จึงได้เกิดปะทะชนช้างกันขึ้น ที่บ้านป่าถ่าน ต่างองค์ต่างก็ฟันกัน ด้วยพระของ้าวพร้อมกัน ขาดตายไปพร้อมกัน (นั้นแหละกิเลสของมนุษย์ พวกบ้าสมบัติ) ตายได้ก็ดีแล้ว ก็เหลือแต่ เจ้าสามพระยา องค์ที่สาม ไม่ได้แย่งสมบัติกับใคร บุญหล่นทับ ได้รับราชสมบัติ ครองกรุงศรีอยุธยาต่อมา เมื่อเจ้าสามพระยา ได้ครองราชแล้ว 7 ปี คือเมื่อ พ.ศ. 1974 พระเจ้าธรรมโศก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกกองทัพมากวาดต้อน เอาผู้คนเป็นจำนวนมาก จากอยุธยาไปเป็นการใหญ่ เพื่อเป็น ไพร่พล ของอ้ายขะแม (เขมร) สมเด็จเจ้าสามพระยา ก็ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 1975 ตั้งค่ายล้อมนครธม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา ในสมัยนั้น ตั้งมั่นต่อสู้อยู่ถึง 7 เดือน ในระยะที่เจ้าสามพระยา ตั้งพลับพลาต่อสู้กับเขมร อยู่นี่เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ทรงประสูติ ที่พลับพลานั้นเอง เมื่อตีเมืองเขมรแตกแล้ว ก็กวาดต้อนเอาไพร่พล และสิ่งของที่มีค่า กลับมากรุงศรีอยุธยา แล้วทรงตั้งให้พระอินทราชา ครองเมืองกัมพูชาแทน พวกขอมในระยะนั้น เป็นเมืองขึ้น คือประเทศราชของไทย จึงย้ายเมืองหลวง จากนครธม ไปตั้งอยู่พนมเปญ ตลอดทุกวันนี้ ส่วน พระอินทราธิราช ก็อยู่ครองเขมรไม่นานนัก ก็ทรงพระประชวร สิ้นพระชนม์ ส่วนพระบรมไตรโลกนาถ ได้ครองราชอยู่ยืนยาวที่สุดถึง 40 ปี ระยะแรกก็ไม่มีทุกข์ภัย ไพร่ฟ้าหน้าใส สุขกายสุขใจกันทั่วหน้า พระองค์จึงเห็นว่า เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองสงบ และอยู่ในสายเดียวกับสุโขทัยสมัยก่อน พระองค์จึงเสด็จไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว ก็ได้รับการต้อนรับจาก อาณาประชาราษฎร์ อย่างสมพระเกียรติ และได้ทรงศึกษารอบรู้ ในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศาสนา ตลอดด้านยุทธศาสตร์เป็นอย่างดี และ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่ขึ้นไปปกครองราชอาณาเขต ทางภาคเหนือ และเมื่อได้ไปประทับ อยู่เมืองพิษณุโลกแล้ว พระองค์ทรงขวนขวายศึกษา พระประวัติ และพระราชประเพณีของวีรบุรุษ แบบกรุงสุโขทัยในอดีต และในเวลานั้น ก็ยังมีเจ้านายเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการเก่าๆ ในเมืองเหนืออยู่มาก ได้ถวายคำแนะนำ ให้ความรู้เพิ่มเติมอีก และได้ทรง เลือกประเพณีเก่าๆ และใหม่ๆ มาปรับปรุงบ้านเมือง ใช้การปกครอง แบบพ่อปกครองลูก อย่างพ่อขุนรามกำแหงมหาราช และทรงเลือกปฏิบัติ ตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ หลายประการ เช่น สร้างวัดในวังแบบสุโขทัย ไว้บรรจุพระอัฐิธาตุ ของบรรพบุรุษ และเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ตลอดวีรชนผู้ถวายชีวิต เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน อันพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่สำคัญคือ ได้ปรับปรุงแก้ไขการปกครอง ให้มีกฎมณเฑียรบาล ระบบศักดินา ปรับปรุงการศึกษา ทางด้านอักษรศาสตร์ และวรรณคดีต่างๆ เช่น มหาชาติคำหลวง และลิลิตพระลอ ก็เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน และในสมัยของพระองค์ท่าน ก็ได้เกิดศึกขึ้นทางตอนใต้ ทางมะละกา แหลมมลายู ซึ่งเป็นเมืองขึ้น (เป็นประเทศราช ของสยามไทย) พระองค์ต้องตัดสินพระทัย ยกเมืองให้เขาไป ดีกว่าจะเสียเลือดเนื้อ และไพรพลเมื่อปี พ.ศ. 1999 เมื่อปีนั้นเอง พระองค์ก็ทรงเสด็จกลับ เพื่อรับเป็นรัชทายาท ไปครองกรุงศรีอยุธยา ตอนนี้เอง ก็เกิดยุ่งกันขึ้น ทางเหนืออีก เพราะพระองค์ทรงปกครอง แบบพ่อปกครองลูก มิได้ทรงแต่งตั้งให้ใครๆ เป็นใหญ่ที่สูงสุดไว้แทน จึงปล่อยให้หัวเมืองต่างๆ มีเจ้าเมืองปกครองกันเอง แบบเจ้าเมือง เจ้าพระยาเท่านั้น คือ เมืองพิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ต่างก็มีอำนาจเสมอกัน จึงต่างคนต่างก็อยากเป็นใหญ่ แย่งไพร่พล แย่งอำนาจกันขึ้น ถึงกับรบราฆ่าฟันกัน เพื่อสนองความอยาก อันเป็นกิเลสของมนุษย์ ส่วนพระยายุธิษฐิระ เจ้าครองเมืองสวรรคโลก ก็เสือกกระโหลกไปทำไมตรี สวามิภักดิ์กับพระเจ้าติโลกราช ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เพราะเวลานั้น เมืองเชียงใหม่ มิได้ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา เพราะถือตัวว่า เป็นเจ้าใหญ่ทางเมืองเหนือ พระยายุธิษฐิระเป็นไส้ศึก นำพลจากเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเจ้าติโลกราช ยาตราทัพลงมาตี ได้เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร แล้วลงไป กวาดต้อนเอาไพร่พล ถึงเมืองชัยนาท พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพ ขึ้นไปป้องกันปราบปราม และเป็นจังหวะที่พระเจ้าติโลกราช จะยกทัพไปตีเมืองสุโขทัย แต่ยังไม่ได้ทันตี พอรู้ข่าวว่าทัพหลวงอันมหึมา ของกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ก็ล่าถอยกลับไป สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ขับไล่ไปถึงเมืองเถิน ก็หยุดกันแค่นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็เห็นว่าหัวเมืองทางภาคเหนือ มันยุ่งกันนัก จึงทรงเปลี่ยนพระราชโชบาย ย้ายพระองค์เอง ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก เสียเอง จึงทำให้เมืองพิษณุโลกเป็นราชธานี เมืองหลวงของไทย อยู่ถึง 25 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2006 ถึง 2031 ส่วน กรุงศรีอยุธยา ก็มอบให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 หรือพระบรมราชา ปกครองแทน ในระหว่างบ้านเมืองสงบนี้เอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงทะนุบำรุง พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คือทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ที่สวยงาม ไว้ที่วัดไทร คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัด พระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก สร้างวัดทอง วัดราชคฤห์ บูรณะวัดคูหาสวรรค์ วัดอรัญญิก ทางทิศตะวันออก และ วัดอื่นๆ อีกสิบเก้าวัดในเมือง บริเวณเมืองพิษณุโลก และได้ส่งทูต ไปอาราธนานิมนต์ พระผู้ทรงแตกฉาน ในพระไตรปิฏก จากทวีปลังกา มาช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนพระองค์เอง ก็ทรงอุปสมบท ประจำอยู่ที่วัดจุฬามณี เช่นเดียวกับพระมหาธรรมราชาที่ 1 ของกรุงสุโขทัย เมื่อลาผนวชแล้ว ก็ได้ช้างเผือกเชือกหนึ่ง เป็นการเสริมพระบารมี เมื่อตอนปี 2016 พระเจ้าติโลกราช คู่อาฆาตของพระองค์ท่าน ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ที่พระยายุธิษฐิระ แตกวงไปสวามิภักดิ์ ได้เกิดสติฟั่นเฟือน ถึงกับฆ่าใครต่อใคร ในที่สุด ก็ฆ่าลูกชายของตนเอง สมเด็จพระบรมไตรโลนาถ เห็นเป็นโอกาสดี จึงยกทัพขึ้นไปตี เอาเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชไม่มีทางสู้ ยอมแพ้ขอหย่าศึก แล้วจึงขอทำสัญญา เป็นไมตรีขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งประสูติจากพระมเหสี เชื้อสายของวงศ์พระร่วง มีพระนามว่า พระนางศรีสุดารัตน์ (ชื่อนี้ได้มาจากพม่า ส่วนในพงศาวดารไม่มีเลย) พระนางได้พระราชโอรส 3 พระองค์ คือ 1 พระอินทราชา พระองค์นี้ได้สิ้นพระชนม์ ในการรบ ที่เมืองเขลางค์ (เมืองลำปาง) องค์ที่สอง ชื่อพระบรมราชา ได้รับสถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลกไว้ก่อน แล้วให้ลงมาครอง กรุงศรีอยุธยาแทน พระราชบิดา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อพระเชษฐา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ก็ได้สถาปนาให้เป็น พระมหาอุปราช ครองเมืองเหนือคือ เมืองพิษณุโลก ส่วนกรุงศรีอยุธยา ก็กลับเป็นราชธานีอีกต่อมา และเมื่อพระบรมราชาสวรรคตแล้ว พระรามาธิบดี ผู้เป็นพระมหาอุปราช ก็ขึ้นครองราชแทน อันวีรกรรม ผลงานของพระรามาธิบดี องค์นี้นับว่าเด่นดังหลายอย่างคือ ทางเมืองเหนือ สมัยที่พระเมืองแว ครองเมืองเชียงใหม่ แข็งข้อขึ้นอีก เมื่อปี 2050 พระบรมราชามหาอุปราช ขึ้นไปปราบเสียจนราบคาบ และได้ทรงสร้างพระสถูปใหญ่ขึ้น ในวัดสุทธาวาส เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพระบรมไตรโลกนาถ และพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทุกพระองค์ และสร้างหล่อพระพุทธรูปใหญ่ ไว้ในวิหารหลวง วัดพุทธาวาส และทรงหล่อพระพุทธรูป ด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ไว้ในวิหารหลวง วัดนี้ตั้งชื่อว่า พระศรีสรรเพ็ชญ์ตลอดมา และหล่อพระพุทธรูปยืน 8 วา หุ้มด้วยทองคำหนัก 20880 บาท แต่ถูกพม่าเอาไฟเผาลอก เอาทองคำไปหมด (ขอบอกว่า พม่ามันกลัวบาปกรรม มันไม่ทำหรอก ก็คนไทยนี่เอง สร้างเองทำลายเอง) ขณะนี้ ทองคำทั้งหมด ยังถูกฝังอยู่เมืองไทยนี้เอง พม่ามันไม่เอาไปหรอก เพราะมันกลัวบาป เมื่อปี 2072 ก็เป็นอันสิ้นสุด อำนาจของสุโขทัยไปชั่วคราว อันเจ้าทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็มองหาช่องทาง ที่จะแสวงหาอำนาจ ความเป็นใหญ่ใส่ตัว และพวกของตัว ผู้ที่ใฝ่ และมักใหญ่ใฝ่สูงที่สุด คือ ฝ่ายวงศ์สุพรรณภูมิ ท่านแรกที่ขึ้นครองราชคือ พระอาทิตยวงค์ ครองราชเมื่อปี พ.ศ. 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา มาชิงเอาไป เมื่อปี 2077 อันพระเจ้าไชยราชาธิราช ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ของพระรัษฎาธิราชกุมารนี้เอง ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ทางสุโขทัย ได้ครองราชตั้งแต่ ปี 2077 ถึง 2086 ครองราชอยู่ 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่พระเจ้าไชยราชาธิราช ได้ครองเมืองนี้เอง ได้สู้รบกับ กองทัพพม่า เป็นครั้งแรกคือ รบกับเจัาตะเบ็งชะเวตี้ เจ้าเมืองตองอู สู้ไทยไม่ได้ถอยกลับ เมื่อพระเจ้าไชยราชาธิราช สวรรคตแล้ว กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทมิฬ ทุกท้องถิ่นเดือดร้อน ที่เจ้าแม่นางศรีสุดาจันทร์ก่อเรื่อง ให้บ้านเมืองต้องเดือดร้อน ไปทุกหัวระแหง เพราะความร้ายกาจ ของกิเลสตัณหา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความลืมตัว ไม่กลัวบาปกรรม ทำให้บ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค เพราะตัณหาจัด ของผู้หญิงแท้ๆ ดังท่านจะได้อ่านต่อไป ความยุ่งยากในกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2091-2148 เป็นเวลายาวนานถึง 57 ปี อันความยุ่งยาก วุ่นวายทั้งภายใน และภายนอกนี้เอง ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ ประสบภัยอันใหญ่หลวง ถึงกับต้องสูญเสียอิสระภาพ เสียบ้านเมือง เสียทุกสิ่งทุกอย่าง ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึง 15 ปี เรื่องนี้เพราะ เจ้าตัวกาลีศรีสุดาจันทร์แท้ๆ เมื่อพระไชยราชาธิราช ผู้ครองราชอยู่ก่อน และเป็นผู้กอบกู้ชาติไทย ให้พ้นภัยจากศึกพม่าครั้งแรก คือเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตองอูได้แล้ว ท่านก็สิ้นพระชนม์ ตามภาวะสังขารของพระองค์ท่าน แล้วแทนที่จะสถาปนา แต่งตั้งให้พระเฑียรราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดา ให้ขึ้นครองราชแทน แต่เจ้าศรีสุดาจันทร์ ซึ่งถือตัวเองว่าเป็นพระพันปีหลวง ทั้งๆ ที่ตัวเอง มีฐานะเพียงพระสนมเอกเท่านั้น กลับเอาลูกชายตัวเอง ชื่อพระเจ้าแก้วฟ้า ซึ่งมีอายุเพียง 11 พรรษาเท่านั้น ขึ้นครองราชแทน แล้วยังกลัววิตกว่า ถ้าให้ลูกชายครองราชต่อไป อันชายชู้ที่เธอหลงใหลคือ ขุนวรวงศา ก็จะไม่ได้เป็นผู้นั่งเมือง จึงวางแผน ฆ่าลูกชายในไส้ของตัวเอง ด้วยให้กินยาพิษ เมื่อปี 2092 จึงเป็นอันว่า สมเด็จพระแก้วฟ้าครองราช อยู่ในวัยทรงพระเยาว์ได้เพียง 2 ปี แล้วแต่งตั้งพระศรีศิลป์ ผู้เป็นน้องชาย ของเจ้าแก้วฟ้าแทน ซึ่งท้าวศรีสุดาจันทร์ จึงได้แต่งตั้งชายชู้ คือขุนวรวงศา ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เมื่อได้อำนาจแล้ว กลับลืมตัว บ้ายศ บ้าอำนาจ ใช้ความเด็ดขาด แบบใครขัดขวาง ตายลูกเดียว และถ้าไม่พอใจกับใคร ที่เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ ก็สั่งปลดทิ้ง ฆ่าเสีย จึงเกิดมีไพร่ฟ้าข้าราชการ ทั้งภายในและภายนอก ไม่พอใจในพฤติกรรม ของขุนวรวงศา จึงหาอุบายกำจัด โดยขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งตอนนั้นเป็นเจ้ากรมตำรวจ และท่านก็ได้สหายคู่ใจคือ ขุนอินทรเทพ ร่วมกันวางแผน ทูลเชิญเจ้าเหนือหัว คือเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคือ ไอ้เจ้าขุนวรวงศา ออกเยี่ยมประชาชน ให้อาณาประชาราษฎร์ ได้ยลโฉม อภิวาทกราบไหว้ ให้ทวยราษฎร์ได้ชื่นใจ พอเสด็จด้วยขบวนช้าง ออกพ้นนอกกำแพงเมือง ถึงตรงคลองสระบัว ไพร่พลที่เตรียมพร้อมคอยอยู่แล้ว มิใช่คอยกราบไหว้วันทา แต่คอยกำจัด จะเด็ดชีวา เจ้าแม่กาลีให้ม้วยมรณ์ จึงร่วมกันจับเจ้าแม่ศรีสุดาจันทร์ กับขุนวรวงศาฆ่าทิ้ง ตรงคลองสระบัว จึงเป็นอันว่า ชาวประชาร่วมกันกำจัดศัตรู เสี้ยนหนามของแผ่นดิน ให้ด่าวดิ้นสิ้นไปได้สำเร็จ ด้วยกลเม็ด ของท่านขุนพิเรนทรเทพ กับท่านขุนอินทรเทพ ทั้งสองท่านร่วมกับผู้รักชาติ รักบ้านเมือง เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจ ในผู้มีอำนาจ วาสนา บารมีมากๆ ว่า อำนาจมันไม่อยู่ค้ำฟ้าหรอก ผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าหยิ่งยโสนัก รู้จักตัวเสียบ้าง อันอำนาจก็ดี ศักดิ์ศรี บารมีก็ดี ถ้าคิดให้ดีแล้ว เป็นของตัวเองเสียเมื่อไหร่ มันเกิดมีขึ้นมา เพราะผู้อื่นเขาอุปโหลกให้ เขาสมมุติให้ทั้งนั้น มันเป็นตัวสมุทัย เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ถ้ายึดมั่นถือมั่น จนเกินไปบรรลัยลูกเดียว